วันเสาร์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2555

นิทาน เรื่อง ครั้งหนึ่งในชีวิต

                                                                       นิทาน
                                                             เรื่อง  ครั้งหนึ่งในชีวิต
                                                                     จัดทำโดย
                                                       นางสาวกุหลาบทิพย์  คงสมมาส
                                                     รหัสนักศึกษา๕๓๓๔๑๐๐๑๐๓๕๗
                                                    คณะครุศาสตร์  สาขาวิชาภาษาไทย หมู่๓ ปี๓
                                                                     จำนวน ๑๒  หน้า






















ดาวโหลดคลิกที่นี่




วันศุกร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2555

ภาวะโลกร้อน กับ โรงเรียน



เด็กวันนี้คือผู้ใหญ่ในวันหน้า เพราะฉะนั้นเราควรปลูกฝังพฤติกรรมการรักษาสิ่งแวดล้อมและการลดภาวะโลกร้อนให้กับพวกเด็กๆ เพื่อที่วันข้างหน้าเมื่อเขาโตเป็นผู้ใหญ่ จะได้ช่วยกันดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมของโลกใบนี้ต่อไป 

     การประหยัดไฟ สอนให้เด็กๆรู้จักการใช้พลังงานไฟฟ้าอย่างคุ้มค่า ปิดไฟ, เครื่องปรับอากาศ, เครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆเมื่อออกจากห้องเรียน ตอนพักเที่ยง และตอนกลับบ้าน ให้เด็กๆรู้ว่าการใช้พลังงานแบบไม่สิ้นเปลืองจะช่วยลดภาวะโลกร้อนได้ หนังสือและสมุด การใช้หนังสือมือสองนอกจากจะช่วยประหยัดเงิน และยังจะช่วยอนุรักษ์ต้นไม้ได้อีกด้วย สอนให้เด็กๆรู้จักดูแลรักษาหนังสือของตนเอง พอถึงช่วงสิ้นเทอมโรงเรียนอาจจะมีกล่องรับบริจาคหนังสือเพื่อให้เด็กรุ่นต่อๆไป ส่วนสมุดที่ยังใช้ไม่หมด ก็สามารถนำมาใช้ต่อในเทอมถัดไปได้ โดยอาจจะเย็บหน้าที่ใช้ไปแล้วติดกันไว้ เท่านี้ก็สามารถช่วยลดภาวะโลกร้อนได้แล้ว ดินสอ ปากกา ยางลบ สอนให้เด็กๆดูแลอุปกรณ์เครื่องเขียนของตนเอง ใช้แล้วเก็บให้เป็นที่เป็นทาง อาจจะเขียนชื่อติดไว้ เวลาหล่นหายจะได้ตามหาเจ้าของได้ ไม่ต้องซื้อใหม่บ่อยๆ สิ้นเปลืองพลังงานและยังสร้างขยะให้โลกมากขึ้นอีกด้วย ชุดนักเรียน ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ต้องซื้อใหม่ทุกปี หรือถ้าครอบครัวไหนมีพี่น้องหลายคน ก็อาจจะเอาเสื้อที่พี่ใส่ไม่ได้แล้วมาให้น้องใส่ต่อ หรือจะเอามาบริจาคให้กับโรงเรียน เพื่อเอามาขายถูกๆเป็นชุดนักเรียนมือสอง เงินที่ได้ก็นำมาใช้ในเรื่องการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมในโรงเรียนต่อไป ถังขยะ ในโรงเรียนควรจะใช้ถังขยะแบบแยกประเภท และสอนให้นักเรียนทิ้งแยกขยะทิ้งให้ถูกต้อง ว่าอันไหนเป็นขยะเปียก อันไหนสามารถนำไปรีไซเคิลได้ สร้างจิตสำนึกที่ดีแก่เยาวชนในการลดภาวะโลกร้อน น้ำดื่ม ควรจะมีตู้น้ำดื่มไว้ให้นักเรียน เพื่อที่จะได้ลดการใช้ขวดน้ำพลาสติกลง และยังช่วยประหยัดเงินของเด็กๆด้วย

    กิจกรรมเกี่ยวกับภาวะโลกร้อน ให้เด็กๆเรียนรู้เรื่องราวของภาวะโลกร้อน ปลูกฝังพฤติกรรมการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เช่น การจัดทัศนศึกษาตามแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติ กิจกรรมปลูกป่า หรืออาจจะจัดพื้นที่ให้มีการปลูกต้นไม้ในโรงเรียนด้วย  ยังมีกิจกรรมอีกหลายๆอย่างที่เราสามารถทำให้เด็กๆรู้จักการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และการลดภาวะโลกร้อนได้อีก ทั้งนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดในการปลูกฝังพฤติกรรมเหล่านี้ให้กับพวกเขาก็คือ “การเป็นแบบอย่างที่ดี” ถ้าเด็กๆมีแบบอย่างที่ดีแล้ว พวกเขาก็จะโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ที่ดี และเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับเด็กรุ่นหลังสืบต่อไป

ภัยคอนโดฯ อันตรายใกล้ตัว ของผู้หญิงวันนี้

   ไม่ว่าคอนโดฯ ที่คุณอยู่จะมีระบบรักษาความปลอดภัยแค่ไหน ผู้หญิงที่อยู่ตามลำพังย่อมมีโอกาสตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพที่ฉวยโอกาสทำร้ายคุณได้ตลอดเวลา

    ที่พักอาศัยไม่ใช่ที่ปลอดภัยที่สุด หญิงสาวที่อยู่คอนโดฯ ตามลำพังมีโอกาสเสี่ยงตกเป็นเหยื่อแก๊งทรชนได้โดยไม่ทันตั้งตัว บางรายแค่ถูกชิงทรัพย์ บางรายถูกข่มขืนแต่ร้ายที่สุดคือถูกฆ่าหมกห้องพัก เหตุเพียงเพราะมิจฉาชีพ มองว่าผู้หญิงเป็นเป้าหมายที่ลงมือได้ง่าย ผนวกกับสถานการณ์รอบข้างที่เอื้อต่อการลงมือของคนร้าย

ที่พักเป็นภัย 

           หลายปีก่อนเกิดเหตุฆาตกรรมสุดสยองดังสนั่นกรุง เมื่อพนักงานธนาคารสาวหน้าตาสวยและรูปร่างดีที่อาศัยอยู่คอนโดฯ คนเดียวเพียงลำพังย่านรามคำแหง ถูกคนร้ายปืนเข้าหลังห้องหวังจะจี้ชิงทรัพย์ แต่หญิงสาวพยายามต่อสู้ก็เลยถูกคนร้ายใช้มีดแทงจนสิ้นใจตาย หรือไม่กี่เดือนที่ผ่านมาก็มีข่าวเด็กสาววัย 17 ปี ซึ่งพักอาศัยอยู่กับน้าสาวบนชั้น 10 ของคอนโดฯ แห่งหนึ่ง ถูกวัยรุ่นขายล็อกคอฉุดกระชากออกจากลิฟต์หมายจะข่มขืนและทำร้ายร่างกายเธอ หลังจากร้องไห้คนช่วย และสุดท้ายเธอก็หนีรอดออกมาได้ แต่เหตุการณ์แบบนี้ก็ใช่ว่าจะโชคดีทุกคน เพราะล่าสุดก็มีข่าวนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏแห่งหนึ่งถูกคนร้ายฆ่ารัดคอบนเตียงในคอนโดมิเนียมย่านลาดพร้าว พร้อมลักทรัพย์ไปหลายรายการ อีกทั้งยังมีข่าวไม่คาดฝันเกิดขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกัน เมื่อเกิดเหตุไฟไหม้คอนโดฯ ชื่อดัง ย่านบางรักและไฟคลอกเจ้าของห้องเสียชีวิตรวม 3 ศพ   ทั้งๆ ที่มีข่าวเตือนภัยในหลายรูปแบบออกมาอย่างต่อเนื่องแต่ภาระหน้าที่การงานในปัจจุบัน ทำให้ผู้หญิงส่วนใหญ่ต้องเข้ามาใช้ชีวิตในสังคมเมืองมากขึ้น ครั้นจะไปซื้อบ้านชานเมืองอยู่ เดี๋ยวนี้ก็ราคาแพง หลังก็เล็กลง และเสียเวลาเดินทาง เข้าเมืองเป็นชั่วโมง สิ้นเปลืองค่าน้ำมันอีกต่างหาก พวกเธอจึงตัดสินใจหาซื้อคอนโดฯ ใจกลางเมือง ที่ตอบสนองไลฟ์สไตล์ในชีวิตทุกๆ ด้าน จากการเปิดเผยของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์รายงานว่า ปีที่ผ่านมามีคอนโดมิเนียมตามแนวรถไฟฟ้าทั้งบนดินและใต้ดินเปิดให้บริการถึง 95 โครงการ มากกว่า 36,801 ยูนิต ขายไปแล้วมากกว่า 23,441 ยูนิต และคาดว่าในอนาคตกำลังจะเกิดขึ้นอีกหลายสิบโครงการ
 
            ขณะเดียวกันท่ามกลางความเจริญและความสะดวกสบายที่ผู้คนยุคใหม่ใฝ่หาและมองว่าคอนโดมิเนียมเป็นที่พักชั้นดีที่จะช่วยลดความเสี่ยงและป้องกันภัยร้าย เช่น การแลกบัตรเข้า-ออก กุญแจการ์ดที่อนุญาตให้เฉพาะผู้ถือบัตรเข้าอาคารได้ กล้องวงจรปิดที่บันทึกทุกความเคลื่อนไหว สามารถตรวจสอบย้อนหลังได้ แต่ถ้าขาดการรักษาความปลอดภัยที่ควรมี ก็ไม่สามารถการันตีได้ว่าเหตุร้ายจะไม่เกิดขึ้นกับคุณ จากการสำรวจอาชญากรรมในภาคประชาชนปี 2549 ในเขตกรุงเทพฯ พบว่า สถานที่เกิดเหตุมากที่สุดคือ บริเวณที่พักอาศัยหรือห้องพักของผู้เสียหาย อาชญากรรมต่อชีวิตที่พบมากที่สุดคือ เหยื่อถูกทำร้ายด้วยการฉุด กระชาก ผลัก ตบดี และทำร้ายด้วยอาวุธ ผู้ก่อเหตุเป็นคนแปลกหน้าเพียงแค่ 11% แต่เป็นคนที่พักอาศัยอยู่ใกล้ชิดหรือคนรู้จักมากถึง 84%

ชีวิตแทรนด์ใหม่ ภัยร้ายใกล้ตัว

  ท่ามกลางการใช้ชีวิตในคอนโดฯ ที่สะดวกสบายและมีทุกสิ่งตอบสนองการใช้ชีวิตในรูปแบบที่ต้องการ โดยเฉพาะมีระบบป้องกันความปลอดภัยแน่นหนากว่าที่พักอื่นอย่างพาร์ตเมนต์ แฟลต หอพัก ฯลฯ แต่นั่นก็ไม่ได้การันดีว่าชีวิตคุณจะปลอดภัยและห่างไกลจากพวกมิจฉาชีพหรือตกเป็นเหยื่อของผู้ไม่หวังดี
         คุณรู้หรือไม่ว่า เมื่อเทียบสถิติปี 2540 กับปี 2547 คดีข่มขืนมีสถิติพุ่งสูงขึ้น 35% จากตัวเลข 3,714 คดี เพิ่มขึ้นเป็น 5,052 คดี แต่ที่น่าตกใจกว่านั้นคือ สถิติข่มขืน และลวนลามทางเพศ 75% เกิดขึ้นในที่พักของเหยื่อเอง ไม่น่าเชื่อว่าอันตรายในที่พักจะน่ากลัวขนาดนั้น คุณสุเพ็ญศรี พึ่งโคกสูงหัวหน้าฝ่ายศูนย์พิทักษ์สิทธิสตรี มูลนิธิเพื่อหญิง เปิดเผยถึงสาเหตุของภัยต่างๆ ในคอนโดฯ ว่า

   "ผู้หญิงที่อยู่อาศัยในคอนโดฯ ต้องระมัดระวังความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินให้มากขึ้น มีข่าวออกมาบ่อยๆ ว่า ผู้หญิงที่อยู่คอนโดฯ คนเดียวไม่ค่อยปลอดภัยและมีโอกาสตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพได้ง่าย คอนโดฯ เป็นพื้นที่ส่วนรวม ทางเจ้าของและผู้อยู่อาศัยคอนโดฯ ก็ต้องรับผิดชอบเหมือนกัน จะหวังให้เจ้าหน้าที่ตำรวจหรือมีใครมาช่วยดูแลอย่างเดียวก็คงไม่ไหว และคนที่จะไปพักอาศัยก็ต้องดูเรื่องระบบความปลอดภัยด้วย ไม่ใช่แต่ว่ามีคีย์การ์ดแล้วจะปลอดภัย เดี๋ยวนี้คอนโดฯ บางแห่งพัฒนาถึงขั้นใส่รหัสห้องก่อนเข้าห้องตัวเองหรือผู้อยู่อาศัย บางคนย้ายมาจากคอนโดฯ ที่มีปัญหามีคนตาย มาอยู่คอนโดฯ หรูๆ คิดว่าจะดี กลับมาเจอปัญหาเดิมๆ เข้าอีก ยิ่งผู้หญิงที่อยู่คนเดียวก็ยิ่งมีความเสี่ยงเพิ่มมากขึ้น ไม่ใช่แค่ความปลอดภัยส่วนตัวเท่านั้น บางครั้งจอดรถไว้ดีๆ ก็มีของหล่นมาทำให้รถบุบหรือรถเฉี่ยวชนกันในลานจอดรถ ซึ่งคุณไม่รู้ว่าใครเป็นคนทำ"

อยู่คอนโดฯ ใช่โชคดีเสมอไป

   ไม่ว่าคุณสาวๆ จะระมัดระวังตัวดีแค่ไหนก็ตาม แต่ที่พักอาศัยในคอนโดฯ ก็ใช่ว่าจะปลอดภัยที่สุดสำหรับทุกคนเสมอไป

• ระมัดระวังคนแปลหน้า นับตั้งแต่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ช่างไฟฟ้า ช่างประปา รวมไปถึงบุคคลภายนอก

• ภัยจากมุมตึก หรือบริเวณที่ลับตาคนภายในคอนโดฯ เช่น ทางหนีไฟ มุมทางเดินระหว่างบันไดในบางครั้งอาจจะมีคนร้ายแฝงอยู่เพื่อชิงทรัพย์หรือทำร้ายร่างกาย

• ลิฟต์ ควรตรวจสอบระบบการทำงานก่อนสักนิดว่าประตูลิฟต์เปิด-ปิดติดขัดหรือไม่ หากคนอื่นขึ้นลิฟต์ด้วยและควรพิจารณาบุคลิกลักษณะ ถ้าไม่น่าไว้ใจก็ปล่อยให้เขาขึ้นลิฟต์ไปก่อน

• ลักทรัพย์ ลวนลามทางเพศ ไม่ว่าจะเป็นคนในคอนโดฯ หรือคนภายนอก ก่อนให้เข้าห้องควรตรวจสอบว่าเขาเป็นใครก่อน เพราะมิจฉาชีพจะเข้ามาลักทรัทย์หรือลวนลามทางเพศและข่มขืนได้

• ทรัพย์สินเสียหาย กรณีที่พบบ่อยๆ คือรถโดนขูดโดยไม่รู้สาเหตุ ซึ่งคนที่อาศัยอยู่คอนโดฯ มีโอกาสเกิดได้ทุกคน ส่วนใหญ่ในลานจอดรถไม่มีกล้องวงจรปิด

• ไฟไหม้เป็นอุบัติเหตุร้ายแรงที่เกิดขึ้นได้เสมอ ถ้ามีห้องใดห้องหนึ่งในคอนโดฯ เป็นต้นเพลิงก็สามารถลุกลามได้อย่างรวดเร็ว ยิ่งถ้าคุณไม่รู้ทางหนีทีไล่ก็มีโอกาสเสี่ยงไม่น้อยไปกว่ากัน

ประสบการณ์จริงในคอนโดฯ

   หวาน เคยเช่าคอนโดฯ แห่งหนึ่งย่านเพชรบุรี ชั้น 9 และอยู่มานานกว่า 2 ปี เล่าถึงเหตุการณ์ขวัญผวาที่เกิดขึ้นเมื่อ 5 เดือนก่อนว่า วันที่เกิดเหตุกลับเข้าคอนโดฯ มาตอนประมาณ 21.00 น. แต่ลืมกุญแจไว้ในห้อง จึงให้แม่บ้านมาเปิดห้องให้ ต่อมาเวลาเที่ยงคืน ขณะนอนหลับอยู่ได้ยินเสียงเหมือนคนเปิดประตูเข้ามาจึงเดินไปดู พบว่าประตูถูกเปิดออกจริงๆ แต่โชคดีที่คล้องเหล็กล็อกประตูจากด้านในไว้

   "ปกติจะกลับเข้าห้องตอนตีหนึ่งตีสอง แต่วันที่เกิดเหตุกลับมา 3 ทุ่ม แต่ลืมกุญแจไว้ในห้อง จึงเรียกแม่บ้านมาเปิดห้องให้ และอยู่ในห้องตลอดจนเข้านอนประมาณเที่ยงคืน กลับได้ยินเสียงเหมือนคนเปิดประตูห้องเมื่อเดินไปดูพบว่า ประตูห้องถูกเปิดแต่ติดเหล็กล็อกประตูทำให้คนร้ายไม่สามารถเข้ามาได้ ส่วนตัวเชื่อว่าคนร้ายต้องมาคอยเฝ้าสังเกตหลายวันแล้ว แต่คอนโดฯ ไม่ได้ติดกล้องวงจรปิดจึงไม่สามารถรู้ได้ว่าใครทำ ตำรวจบอกว่าไม่มีร่องรอยการงัดประตูเข้ามา แต่ใช้กุญแจผีไขเข้ามา หวานคิดว่าหากวันนั้นกลับห้องตามเวลาปกติอาจจะเกิดเหตุร้ายที่คาดไม่ถึงแน่นอน และหลังจากแจ้งความก็เก็บทรัพย์สินย้ายออกจากคอนโดฯ แห่งนั้นทันที ตอนแรกที่มาอยู่คอนโดฯ แห่งนี้ นอกจากจะกลัวผีเพราะมีคนกระโดดคอนโดฯ ตายเป็นประจำแล้ว ยังต้องมากลัวพวกมิจฉาชีพอีก จึงย้ายไปอยู่คอนโดฯ ใหม่ที่มีระบบรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวดขึ้น ซึ่งมีการใช้คีย์การ์ดเข้า-ออก มีกล้องวงจรปิด และมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่ไว้ใจได้ด้วย" เช่นเดียวกับ เดือน พนักงานบริษัทเอกชน ซึ่งเคยเช่าคอนโดฯ ย่านนนทบุรี เดือนละ 3,500 บาท ได้ถูกโจรใช้เครื่องตัดลูกกุญแจที่ล็อกประตูเหล็ก ก่อนงัดลูกบิดประตูห้อง เข้ามารื้อตู้เสื้อผ้า ชั้นเก็บของ จนข้าวของกระจุยกระจายเต็มห้อง แต่คนร้ายไม่ได้สิ่งใดติดมือไปเลย
  "ในห้องมีของมีค่าอยู่เพียง 2 อย่าง คือโทรทัศน์เครื่องใหญ่ที่คนร้ายไม่สามารถขนออกไปได้และกล้องที่อยู่ใต้ชั้นหนังสือ ตอนนั้นตกใจมาก ทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน ก็โทรไปแจ้งผู้จัดการคอนโดฯ ให้เขามาจัดการ และก็บอกให้เขาไปเรียกตำรวจมาตรวจสอบ ซึ่งกว่าจะมาได้ก็ใช้เวลานานมาก แต่ก็คิดในใจว่าดีนะที่ไม่มีของมีค่าอะไรและคอนโดฯ ตอนนั้นก็ยังไม่มีกล้องวงจรปิด มีแค่คีย์การ์ดกับรปภ. เชื่อไหมว่าตอนนั้นคดียังไม่คืบหน้าไปถึงไหนและก็ไม่มีใครติดต่อกลับมาด้วย ดีหน่อยที่หลังจากนั้นผู้จัดการจึงเอากล้องวงจรปิดขึ้นมาติดตามมุมต่างๆ เดือนคิดว่าคนร้ายน่าเป็นคนในคอนโดฯ นี่แหละ เพราะมีวัยรุ่นเดินเข้าเดินออกบ่อยๆ ตอนนี้ก็เลยต้องเซฟตัวเองด้วยการล็อกกุญแจประตูเหล็กเพิ่มเป็น 2 ชั้น และเปลี่ยนลูกบิดเป็นระบบล็อกที่เปิดยากขึ้น" ด้าน คุณแป้ง พนักงานบริษัทเอกชนวัย 29 ปีซึ่งกำลังผ่อนคอนโดฯ ชื่อดังแห่งหนึ่งย่านปิ่นเกล้า บอกกับเราว่า แม้ว่าจะไม่เคยเจอเหตุการณ์ร้ายๆ แต่ก็จะมีปัญหาเล็กๆ น้อยๆ อย่างกรณีรถเฉี่ยวชนกันบริเวณลานจอดรถของคอนโดฯ และปัญหาสิ่งของจากคอนโดฯ ตกใส่รถที่จอดอยู่ เป็นต้น ส่วนเรื่องของความปลอดภัยจากมิจฉาชีพที่จะแฝงตัวเข้ามานั้น เจ้าของห้องส่วนใหญ่จะติดตั้งระบบล็อกหลายชั้น และล่าสุดนิยมติดตั้งเครื่องเข้ารหัสผ่านเข้า-ออก
         "การอยู่คอนโดฯ จะแตกต่างจากการอยู่บ้าน ที่เราต้องระวังคนแปลกหน้าที่หลากหลาย แต่การอยู่คอนโดฯ อาจต้องระวังแม่บ้านช่าง และยาม เพราะเป็นกลุ่มคนแปลกหน้าเพียงกลุ่มเดียวที่ผ่านเข้า-ออกในคอนโดฯ เพื่อนๆ ที่มาซื้อคอนโดฯ ที่นี่ จึงต้องป้องกันตัวเอง ในห้องของแป้งจะเพิ่มระบบล็อกเป็น 3 ชั้น แต่บางคนก็ลงทุนติดตั้งเครื่องเข้ารหัสการผ่านเข้า-ออกเหมือนคอนโดฯ ในซีรี่ส์เกาหลีก็สร้างความอุ่นใจได้ระดับหนึ่ง"

ป้องกันตัว ป้องกันภัยในคอนโดฯ

    คุณจริญ เกสร กรรมการผู้จัดการ บริษัทลุมพินี พร็อพเพอร์ตี้ แมนแนสเมนต์ จำกัด และเป็นผู้บริหารชุมชนในคอนโดมิเนียมทุกโครงการของ LPN ได้กล่าวถึงวิธีการใช้ชีวิตในคอนโดฯ ให้ปลอดภัยและความสุขว่า "คอนโดฯ ทุกวันนี้เราจะเห็นว่ามีผู้หญิงมาพักอาศัยในคอนโดฯ เป็นจำนวนมาก เพราะผู้หญิงดูแลตัวเองได้มากขึ้น พวกเธอจึงเลือกที่จะอยู่อาศัยคอนโดฯ เป็นอันดับต้นๆ เพราะมีทั้ง รปภ. และนิติบุคคลคอยดูแลยังไงก็ปลอดภัยกว่าทาวเฮ้าส์หรือบ้านเดี่ยวแน่นอน และคอนโดฯ มีพื้นที่น้อยไม่ต้องดูแลรักษาอะไรมาก แถมใกล้แหล่งทำงาน สถานที่พักผ่อน อีกอย่างการเดินทางที่รวดเร็วและสะดวกสบาย ก็นับเป็นปัจจัยที่ทำให้ผู้หญิงทั้งที่ทำงานและเรียนหนังสือมาอยู่คอนโดฯ ใจกลางเมืองมากกว่าใช้เวลาเดินทางบนถนนนานเป็นชั่วโมงๆ ทั้งนี้ ในเบื้องต้นก่อนซื้อคอนโดฯ คุณต้องดูเรื่องความมีชื่อเสียงของโครงการมั้ย เราก็ต้องศึกษาให้ถ้วนถี่ แล้วบริษัทที่รับจ้างมาบริหารจัดการที่เข้ามาดูแลมีความน่าเชื่อถือแค่ไหน หรือไปพูดคุยกับเจ้าของเดิมว่าเขาดูแลเป็นอย่างไรบ้าง ดีมั้ย อย่างไร ก็จะช่วยได้ในระดับแรก ตอนนี้ส่วนงานคุ้มครองผู้บริโภคเขาให้สิทธิ์ผู้อยู่อาศัยเยอะ คุณควรใช้สิทธิ์ของตัวเองให้เต็มที่  คอนโดมิเนียมฯ หนึ่ง เขามีระบบความปลอดภัยที่ได้ติดตั้งไว้ตั้งแต่แรกทั้งระบบคีย์การ์ด ระบบกล้องวงจรปิดและมีระบบบริหารจัดการโดยคนอื่นๆ มีฝ่ายจัดการ มีพนักงานรักษาความปลอดภัย ที่จะดูแลเราครึ่งหนึ่งแต่ที่สำคัญจริงๆ คือ ตัวเราเองที่เราเจ้าของร่วม ถ้าเรารับรู้ว่ามีอะไรอยู่ตรงไหน มีวิธีการจัดการอย่างไร เราเป็นเจ้าของร่วมไม่ใช่ผู้เช่าที่มาจ่ายเงินรายเดือนแล้วก็ไป เราเป็นเจ้าของห้องเรา เป็นเจ้าของพื้นที่ส่วนกลางทั้งหมด ถึงจะให้มีพนักงานรักษาความปลอดภยหรือพนักงานในคอนโดฯ มากเท่าไหร่ แต่ถ้าคุณไม่มีจิตสำนึกความเป็นเจ้าของร่วม ทุกคนก็จะอยู่ยาก อันตรายก็เกิดขึ้นง่าย แต่ถ้าทุกคนช่วยกันดูแลความปลอดภัยทั้งของส่วนตนและชุมชน อยู่แบบแบ่งปันอยู่แบบเอื้ออาทรกัน เมื่อนั้นความปลอดภัยก็จะย้อนกลับมาหาเราเอง"

    ไม่มีผู้หญิงคนไหนคาดคิดว่าตัวเองอาจจะตกเป็นเหยื่อในสักวันหนึ่ง และไม่เว้นแม้แต่ที่ที่ปลอดภัยที่สุดอย่างในที่พักอาศัยของตัวเอง แต่ถึงอย่างไรผู้หญิงทุกคนก็ต้องรู้จักหาวิธีป้องกันตัวเอง เรียนรู้ และเข้าใจในภัยทุกรูปแบบ เพื่อที่จะได้รับมืออย่างชาญฉลาดและไม่ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพเหล่านั้น

วิกฤติภาษาไทยในวัยรุ่นปัญหาเร่งด่วนที่ต้องแก้ไข

    ภาษาไทยเป็นทั้งวัฒนธรรม เอกลักษณ์ และความภูมิใจของคนไทย แต่ปัจจุบันคนไทยจำนวนไม่น้อยที่ใช้ภาษาไทยได้ไม่ดีพอ ไม่รู้ว่าพยัญชนะ สระ และวรรณยุกต์ในภาษาไทยมีกี่รูป กี่เสียง และยังมีคนไทยอีกจำนวนมากที่ยังพูดภาษาไทยผิดบ้าง เขียนผิดบ้าง หรือบ้างก็จับใจความผิด ฟังผิด อ่านผิด บ้างก็พูดภาษาไทยคำภาษาอังกฤษคำ จนเกิดปัญหาการสื่อสารและเข้าใจความหมายของภาษาในทางที่ผิด ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นต้นเหตุที่จะทำให้เสน่ห์ของภาษาไทยค่อย ๆ เลือนหายไป

    ในปัจจุบันนี้ปรากฏว่า ได้มีการใช้คำออกจะฟุ่มเฟือย และไม่ตรงกับความหมายอันแท้จริงอยู่เนือง ๆ ทั้งออกเสียงก็ไม่ถูกต้องตามอักขรวิธี ถ้าปล่อยให้เป็นไปดังนี้ ภาษาของเราก็มีแต่จะทรุดโทรม ชาติไทยเรามีภาษาของเราใช้เองเป็นสิ่งอันประเสริฐอยู่แล้ว เป็นมรดกอันมีค่าตกทอดมาถึงเราทุกคน จึงมีหน้าที่จะตัองรักษาไว้...“ พระบรมราโชวาทในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรแก่นิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2512

        เราจะเห็นได้ว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเน้นย้ำให้ประชาชนชาวไทยตระหนักถึงความสำคัญของภาษาไทยและพระราชทานแนวความคิดในการอนุรักษ์ภาษาไทยในโอกาสต่าง ๆ อยู่เสมอ ที่สำคัญยิ่งกว่านี้ คือ เป็นที่ประจักษ์ว่าพระองค์มีพระปรีชาญาณและพระอัจฉริยภาพในการใช้ภาษาไทย ทรงรอบรู้ปราดเปรื่องและเป็นแบบอย่างแก่ประชาชนในการใช้ภาษาไทยมาโดยตลอด  กลุ่มคนที่เป็นสาเหตุที่ทำให้เด็กไทยใช้ภาษาไทยอย่างผิดเพี้ยนนั้นต่างมุ่งเป้าไปที่กลุ่มดาราวัยรุ่น นักแสดง นักร้อง นักการเมือง และสื่อมวลชน ที่มักใช้ภาษาอย่างไม่เหมาะสม มีการใช้คำแสลงจนภาษาไทยเข้าขั้นวิกฤติ นอกจากนี้ยังมองว่าพ่อแม่ผู้ปกครองก็ไม่ได้ส่งเสริมสนับสนุนให้เด็กได้อ่านหนังสืออย่างอื่นนอกจากตำราเรียน อีกทั้งสถานศึกษาอีกจำนวนมากไม่ได้สนับสนุนให้เด็กได้ร่วมกิจกรรมหรือโครงการดี ๆ ที่เน้นการอ่าน การเขียน การพูด หรือกิจกรรมที่เน้นให้เด็กได้คลุกคลีกับตัวหนังสือ ในขณะที่ห้องสมุดก็ไม่ค่อยจะมีกิจกรรมดึงดูดให้เด็กเข้าไปศึกษาหาความรู้

          แม้ปัญหาการใช้ภาษาไทยได้เกิดขึ้นมาเป็นระยะเวลาอันยาวนานหลายสิบปี แต่ในยุคปัจจุบันนี้ปัญหายิ่งวิกฤติความรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งมีปัจจัยหนุนนำที่สำคัญนั่นคือความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำไปอย่างรวดเร็ว เราจึงพบการใช้ภาษาไทยแบบผิด ๆ มากมายจนเกือบจะกลายเป็นความคุ้นชิน โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่น ยิ่งน่าเป็นห่วงมากที่สุด เป็นกลุ่มที่นิยมใช้ภาษาที่มีวิวัฒนาการทางภาษาที่เฉพาะกลุ่ม ซึ่งเป็นภาษาที่เกือบจะไม่มีไวยากรณ์ ไม่ว่าจะจากการรับส่งข้อความสั้น (SMS) การส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ (E-mail) การสนทนาออนไลน์ (MSN) หรือแม้แต่การแสดงความคิดเห็นในโลกอินเทอร์เน็ต

          สำหรับภาษาของวัยรุ่นที่พบเห็นกันบ่อย ๆ นั้น มีทั้งภาษาที่ใช้ในการพูด โดยมักพูดให้มีเสียงสั้นลง หรือยาวขึ้น หรือไม่ออกเสียงควบกล้ำเลย เช่น ตัวเอง = ตะเอง ครับ = คับ จริง = จิง เปล่า = ป่าว ส่วนภาษาที่ใช้ในการเขียน ซึ่งจะมีทั้งคำพ้องเสียง เช่น เธอ = เทอ ใจ = จัย หนู = นู๋ ผม = ป๋มไง = งัย กรรม = กำ เสร็จ = เสด ก็ = ก้อ หรือบางคำที่พิมพ์ด้วยความรีบเร่ง ซึ่งจะใกล้เคียงกับกลุ่มคำพ้องเสียง เพียงแต่ว่าบางครั้งการกดแป้น Shift อาจทำให้เสียเวลา จึงไม่กด แล้วเปลี่ยนคำที่ต้องการเป็นอีกคำที่ออกเสียงคล้ายกันแทน เช่น รู้ = รุ้ เห็น = เหน เป็น = เปน ใช่ไหม = ชิมิ และยังมีกลุ่มที่ใช้สื่อสารในเกม โดยใช้ตัวอักษรภาษาอื่นที่มีลักษณะคล้ายตัวอักษรภาษาไทย เช่น เทพ = Inw นอน = uou เกรียน = เกรีeu หรือแม้แต่การเน้นเขียนคำให้สั้นที่สุดโดยใช้สัญลักษณ์แทน เช่น 555 แทนเสียงหัวเราะ เป็นต้น
   และยังมีคำอีกมากมายที่ถูกบัญญัติขึ้นโดยกลุ่มผู้ใช้ที่เป็นวัยรุ่น จนแทบจะกลายเป็นภาษาทางการของกลุ่มวัยรุ่นที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายและนับวันยิ่งขยายวงกว้างออกไปเรื่อย ๆ ซึ่งปัญหาเหล่านี้หากทุกภาคส่วนในสังคมยังคงปล่อยวางไม่เร่งรีบหาทางแก้ไข และยังคงมีการใช้บ่อย ๆ ก็จะทำให้เกิดความเคยชิน อีกทั้งมีการนำไปใช้ในชีวิตประจำวันจนในที่สุดก็จะกลายเป็นเรื่องปกติ ซึ่งน่าหวั่นเกรงยิ่งนักว่าในอนาคตปัญหาวิกฤติภาษาไทยก็จะยิ่งยากเกินการเยียวยาแก้ไข ณ วันนี้ หากฝืนปล่อยให้กลุ่มคนที่ชอบใช้ภาษาแบบผิด ๆ ด้วยค่านิยมที่ผิด ๆ เพียงรู้สึกว่าการใช้ภาษาตามค่านิยมวัยรุ่นเหล่านั้นดูเป็นคำที่น่ารักและยังช่วยให้พิมพ์ง่ายขึ้น โดยที่ไม่คำนึงถึงสิ่งที่จะตามมา นั่นคือการทำลายภาษาไทยโดยทางอ้อม และที่น่ากลัวยิ่งคือวัยรุ่นบางกลุ่มได้นำคำเหล่านี้ไปใช้ในชีวิตประจำวันและได้แพร่หลายเข้าไปในสถานศึกษา ซึ่งจะเป็นหนทางที่จะนำพาความหายนะมาสู่วงการภาษาไทยซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของชาติที่ทุกฝ่ายไม่ควรมองข้าม

         คงต้องฝากถึงผู้ดูแลระดับนโยบายทั้งหลายว่าทำอย่างไรที่จะสามารถกระตุ้นเตือน และปลุกจิตสำนึกของคนไทยทั้งชาติให้ตระหนักถึงความสำคัญและคุณค่าของภาษาไทย รวมถึงการสร้างความร่วมมือร่วมใจกันทำนุบำรุงส่งเสริมและอนุรักษ์ภาษาไทย ซึ่งเป็นเอกลักษณ์และเป็นสมบัติวัฒนธรรมอันล้ำค่าของชาติให้มีความถูกต้องงดงามคงอยู่คู่ชาติไทยตลอดไป.

การใช้ภาษาในการโฆษณา





   การโฆษณา มีความจำเป็นต้องใช้ภาษาที่ดึงดูดความสนใจของคนอ่านคนฟัง นักโฆษณาจึงมักคิดค้นถ้อยคำ สำนวนภาษาแปลก ๆ ใหม่ ๆ นำมาโฆษณาอยู่เสมอ เพื่อเรียกร้องความสนใจจากคนซื้อ ในขณะเดียวกันการโฆษณาต้องใช้ภาษาที่ง่าย ๆ กะทัดรัด ได้ใจความชัดเจนดี น่าสนใจ ให้ทันเหตุการณ์ รวดเร็ว มีเสียงสัมผัสคล้องจอง จดจำได้ง่ายด้วย จึงมีถ้อยคำเกิดใหม่ ๆ อยู่เสมอ วิเศษ ชาญประโคน (2550, หน้า 48-50) กล่าวถึงภาษาโฆษณาไว้สรุปได้ดังนี้ 
 
  ภาษาโฆษณาเป็นภาษาที่มุ่งโน้มน้าวจิตใจให้ผู้รับสารเปลี่ยนความคิด และเกิดการกระทำตาม ลักษณะของภาษาจึงมีสีสัน เน้นอารมณ์ด้วยการใช้ภาษาต่างระดับในข้อความเดียวกัน ส่วนมากเป็นภาษาทางการกับกึ่งทางการ ภาษาโฆษณามีลักษณะดังนี้

1. เรียกร้องความสนใจ

     คือเลือกใช้ภาษาที่ง่าย สุภาพ กระตุ้นความรู้สึกของลูกค้า


2. ให้ความกระจ่างแก่ลูกค้า

      เป็นการใช้ภาษาที่ง่ายชัดเจนในการกล่าวถึงคุณภาพของสินค้าหรือบริการ


3. ให้ความมั่นใจ

     เป็นการอ้างอิงข้อมูลต่าง ๆ เพื่อให้ลูกค้าเกิดความมั่นใจ


4. ยั่วยุให้เกิดการตัดสินใจ


    เป็นการใช้ถ้อยคำให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อสินค้าหรือบริการโดยเร็วที่สุด

     นอกจากนี้ สุภาวดี สุประดิษฐ์อาภรณ์ (2550, หน้า 17) กล่าวถึง การใช้ภาษาโฆษณา
สรุปได้ดังนี้

1. มีการใช้ประโยคที่สั้น กะทัดรัด

     ไม่ยาวหรือสั้นจนเกินไป ไม่ใช้คำพูดหรือข้อความ ฟุ่มเฟือยไม่จำเป็นแต่อ่านแล้วสามารถที่จะจับใจความ ได้ทันที

2. มีความชัดเจน

      ไม่กำกวมในข้อความโฆษณา คือใช้คำพูดที่ผู้รับสารอ่านหรือได้ยินแล้ว ปราศจากข้อสงสัย เพื่อที่จะสามารถตอบคำถามที่คาดว่าผู้รับสารต้องการที่จะทราบได้หลีกเลี่ยงการใช้คำพูด สำนวนโวหาร หรือข้อความ ที่กำกวมทำให้ตีความได้หลายทาง หรือสามารถที่จะตีความได้หลายทาง หรือสามารถที่จะ ตีความได้หลายความหมาย


3. ใช้ภาษาที่อ่าน หรือฟัง เข้าใจง่ายกับการบรรยายถึงสรรพคุณสินค้า

      อาจมีการใช้ สำนวนภาษาที่แตกต่างจากโครงสร้างในภาษาไทย กล่าวคือไม่ยึดติดกับหลักภาษาไทย มากจนเกินไปเพื่อให้เหมาะสมกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างกันใน อายุ อาชีพ และเพศ แต่ต้องคำนึงถึงว่าจะทำให้เกิดผลให้ผู้อ่านเข้าใจผิดหรือเกิดผลในทางลบได้ อย่ามุ่งแต่จะใช้ความแปลกใหม่ แต่เพียงอย่างเดียว ภาษาที่ใช้กันทั่วไปเป็นสิ่งที่ดีถ้านำมาใช้อย่างเหมาะสม เนื่องจากเป็นสิ่งที่คุ้นเคย กันเป็นอย่างดี แต่ต้องระวังไม่ให้ผู้รับสารรู้สึกว่าเป็นภาษาที่หยาบคาย

สันทนี บุญโนทก, รักษ์ศิริ ชุณหพันธรักษ์ และสิริมา เชียงเชาว์ไว (ม.ป.ป., หน้า 100-101) กล่าวถึงหลักการเขียนข้อความโฆษณา ไว้ดังนี้

1. ต้องทำให้ผู้รับสารเกิดความสะดุดตา สะดุดใจ (attention) โดยอาจใช้คำพูด ถ้อยคำให้ผลกระทบในทันที ทำให้อยากจะฟังหรืออ่านข้อความต่อไป

2. เพื่อกระตุ้นความสนใจให้เกิดแก่ผู้รับสาร (interest) การทำงานโฆษณาจะต้องทำให ้ผู้รับสารเกิดความสนใจในสารทันที

3. เพื่อสร้างความปรารถนาให้เกิดขึ้นแก่ผู้รับสาร (desire) งานโฆษณาที่ดีต้องสามารถสร้างความรู้สึก ให้ผู้รับสารเกิดความต้องการที่จะใช้ผลิตภัณฑ์ เกิดความต้องการในการบริโภค

4. เพื่อให้เกิดการปฏิบัติ (action) งานโฆษณาต้องสามารถโน้มน้าวใจให้ผู้รับสารมีความรู้สึกคล้อยตาม จนเกิดการตัดสินใจซื้อสินค้า

ข้อควรคำนึงในการใช้ภาษาเพื่อการโฆษณา มีดังนี้

1. ใช้ภาษาสามัญ ง่าย ๆ สุภาพเข้าใจง่าย สละสลวยหนุ่มนวล ชวนสนใจ
2. ใช้ถ้อยคำภาษาที่ตรงความหมายที่ต้องการ สอดคล้องกับวัฒนธรรมของการใช้ภาษา
3. ใช้ถ้อยคำ ภาษาที่ถูกต้อง เหมาะสม ไม่ใช้ภาษาแสลง วิบัติ หรือคำต่ำกว่ามาตรฐาน
4. ใช้ภาษาให้ถูกต้องตามแบบแผน ไม่ใช้ถ้อยคำที่ตัด หรือย่อที่รู้กันเฉพาะกลุ่ม
5. ไม่ใช้คำที่มีความหมายกำกวม เข้าใจได้สองแง่สองมุม คำผวน คำภาษาตลาด
6. ไม่ใช้คำวิชาการหรือศัพท์เทคนิคเกินความจำเป็น
7. ควรใช้คำที่เหมาะสมกับกาลเทศะและบุคคล ไม่ส่อเสียด ไม่ทับถมผู้อื่น
9. ไม่ใช้ภาษาโลดโผนและโฆษณาเกินความจริง เป็นการดูถูกสติปัญญาผู้รับสาร

การใชภาษาในชีวิตประจำวัน



มนุษย์กับการใชภาษา

   ด้วยเหตุที่มนุษย์เป็นสัตว์สังคม จึงจำาเป็นต้องมีการติดต่อสื่อสารระหว่างกัน เครื่องมือที่มนุษย์ใช้ติดต่อ
สื่อสารระหว่างกันก็คือ “ภาษา” แม้ในบางสังคมจะไม่มีภาษาเป็นของตนเองใช้ ก็ยังต้องหยิบยืมภาษาของสังคมอื่นมาใช้แทน กล่าวได้ว่ามนุษย์จะดำาเนินชีวิตโดยปราศจากภาษาไม่ได้ภาษาที่มนุษย์ใช้ติดต่อสื่อสารระหว่างกันมีทั้งภาษาที่ใช้ถ้อยคำา คือการสื่อความหมายผ่านการใช้ถ้อยคำา ได้แก่ ภาษาพูดกับภาษาเขียน และภาษาที่ไม่ใช้ถ้อยคำา ได้แก่ การสื่อความหมายผ่านการใช้ท่าทาง สายตา สิ่งของเครื่องใช้ เสื้อผ้า วัตถุต่างๆ ฯลฯ

    ในชีวิตประจำาวันมนุษย์ได้ใช้ภาษาทั้งที่ใช้ถ้อยคำาและไม่ใช้ถ้อยคำาอยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตาย ตั้งแต่ลืมตาตื่นจนกระทั่งนอนหลับ แม้ในเวลานอนหลับ มนุษย์ก็ยังรับรู้เรื่องราวผ่านการแสดงออกของจิตไร้สำานึกหรือที่เรียกว่าความฝัน ดังจะเห็นว่าเมื่อตื่นขึ้นมาแล้วเรายังจดจำาเรื่องราวในความฝันบางอย่างได้ โดยเฉพาะการติดต่อสื่อสารที่เกิดขึ้นในความฝันมนุษย์ใช้ภาษาผ่านทักษะภาษา 4 ประการคือ การฟัง การพูด การอ่าน การเขียน ทักษะภาษาทั้ง 4 ประการนี้ยังถูกควบคุมด้วยทักษะสำาคัญอีกประการหนึ่งคือ การคิด ทั้งนี้เพราะมนุษย์จะดำาเนินชีวิต

  โดยปราศจากความคิดไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นความคิดเกี่ยวกับเรื่องใดก็ตาม จะเป็นความคิดที่มีความละเอียดซับซ้อนหรือไม่ก็ตามความคิดนั้นจะเกี่ยวโยงกับประเด็นอื่นหรือไม่ก็ตาม รวมถึงความคิดนั้นส่งผลต่อสังคมและบุคคลอื่นหรือไม่ก็ตาม แต่ความคิดก็เกิดขึ้นควบคู่ไปกับการดำเนินกิจกรรมของมนุษย์อยู่ตลอดเวลา ภาษากับความคิดจึงมีความสัมพันธ์กัน ไม่สามารถแยกออกจากกันได้เด็ดขาด หากผู้ใช้ภาษามีความคิดที่ไม่เป็นระบบก็จะใช้ภาษาอย่างไม่เป็นระบบ เกิดความวกวน สับสนและอาจสื่อความไม่ได้ แต่ถ้าผู้ใช้ภาษามีความคิดที่เป็นระบบ มีความเป็นเหตุเป็นผล การใช้ภาษาก็จะเป็นระบบและสื่อ

อุปสรรคในการสื่อสาร




อุปสรรคในการสื่อสาร หมายถึง สิ่งที่ทำให้การสื่อสารไม่บรรลุตามวัตถุประสงค์ ของผู้สื่อสาร และผู้รับสาร อุปสรรคในการสื่อสารอาจเกิดขึ้นได้ทุกขั้นตอนของกระบวนการสื่อสาร ดังนั้นอุปสรรค ในการสื่อสารจากองค์ประกอบต่าง ๆ ดังนี้

1. อุปสรรคที่เกิดจากผู้ส่งสาร
1.1 ผู้ส่งสารขาดความรู้ความเข้าใจและข้อมูลเกี่ยวกับสารที่ต้องการจะสื่อ
1.2 ผู้ส่งสารใช้วิธีการถ่ายทอดและการนำเสนอที่ไม่เหมาะสม
1.3 ผู้ส่งสารไม่มีบุคลิกภาพที่ไม่ดี และไม่เหมาะสม
1.4 ผู้ส่งสารมีทัศนคติที่ไม่ดีต่อการส่งสาร
1.5 ผู้ส่งสารขาดความพร้อมในการส่งสาร
1.6 ผู้ส่งสารมีความบกพร่องในการวิเคราะห์ผู้รับสาร


2. อุปสรรคที่เกิดจากสาร

2.1 สารไม่เหมาะสมกับผู้รับสาร อาจยากหรือง่ายเกินไป
2.2 สารขาดการจัดลำดับที่ดี สลับซับซ้อน ขาดความชัดเจน
2.3 สารมีรูปแบบแปลกใหม่ยากต่อความเข้าใจ
2.4 สารที่ใช้ภาษาคลุมเครือ ขาดความชัดเจน


3. อุปสรรคที่เกิดขึ้นจากสื่อ หรือช่องทาง

3.1 การใช้สื่อไม่เหมาะสมกับสารที่ต้องการนำเสนอ
3.2 การใช้สื่อที่ไม่มีประสิทธิภาพที่ดี
3.3 การใช้ภาษาที่ไม่เหมาะสมกับระดับของการสื่อสาร

4. อุปสรรคที่เกิดจากผู้รับสาร

4.1 ขาดความรู้ในสารที่จะรับ
4.2 ขาดความพร้อมที่จะรับสาร
4.3 ผู้รับสารมีทัศนคติที่ไม่ดีต่อผู้ส่งสาร
4.4 ผู้รับสารมีทัศนคติที่ไม่ดีต่อสาร
4.5 ผู้รับสารมีความคาดหวังในการสื่อสารสูงเกินไป

หลักในการสื่อสาร

การสื่อสารจะประสบความสำเร็จตรงตามจุดประสงค์หรือไม่ผู้ส่งสารควรคำนึงถึงหลักการสื่อสาร ดังนี้ (ภาควิชาภาษาไทย สถาบันราชภัฏเทพสตรี ลพบรี, 2542: 13-14)

1. ผู้ที่จะสื่อสารให้ได้ผลและเกิดประโยชน์ จะต้องทำความเข้าใจเรื่ององค์ประกอบในการสื่อสาร และปัจจัยทางจิตวิทยาที่เกี่ยวข้องกับระบบการรับรู้ การคิด การเรียนรู้ การจำ ซึ่งมีผลต่อประสิทธิภาพ ในการสื่อสาร

2. ผู้ที่จะสื่อสารต้องคำนึงถึงบริบทในการสื่อสาร บริบทในการสื่อสาร หมายถึง สิ่งที่อยู่แวดล้อมที่มีส่วนในการกำหนดรู้ความหมายหรือความเข้าใจในการสื่อสาร

3. คำนึงถึงกรอบแห่งการอ้างอิง (frame of reference) มนุษย์ทุกคนจะมีพื้นความรู้ทักษะ เจตคติ ค่านิยม สังคม ประสบการณ์ ฯลฯ เรียกว่าภูมิหลังแตกต่างกัน ถ้าคู่สื่อสารใดมีกรอบแห่ง การอ้างอิงคล้ายกัน ใกล้เคียงกัน จะทำให้การสื่อสารง่ายขึ้น

4. การสื่อสารจะมีประสิทธิผล เมื่อผู้ส่งสารส่งสารอย่างมีวัตถุประสงค์ชัดเจน ผ่านสื่อหรือช่องทาง ที่เหมาะสม ถึงผู้รับสารที่มีทักษะในการสื่อสารและมีวัตถุประสงค์สอดคล้องกัน

5. ผู้ส่งสารและผู้รับสาร ควรเตรียมตัวและเตรียมการล่วงหน้า เพราะจะทำให้การสื่อสารราบรื่น สะดวก รวดเร็ว เป็นไปตามวัตถุประสงค์และสามารถแก้ไขได้ทันท่วงที หากจะเกิดอุปสรรค์ ที่จุดใดจุดหนึ่ง

6. คำนึงถึงการใช้ทักษะ เพราะภาษาเป็นสัญลักษณ์ที่มนุษย์ตกลงใช้ร่วมกันในการ
สื่อความหมาย ซึ่งถือได้ว่าเป็นหัวใจในการสื่อสาร คู่สื่อสารต้องศึกษาเรื่องการใช้ภาษา และสามารถใช้ภาษาให้เหมาะสมกับกาลเทศะ บุคคล เนื้อหาของสาร และช่องทางหรือสื่อ ที่ใช้ในการสื่อสาร

7. คำนึงถึงปฏิกิริยาตอบกลับตลอดเวลา ถือเป็นการประเมินผลการสื่อสาร ที่จะทำให้คู่สื่อสารรับรู้ผลของการสื่อสารว่าประสบผลดีตรงตามวัตถุหรือไม่ ควรปรับปรุง เปลี่ยนแปลงหรือแก้ไขข้อบกพร่องใด เพื่อที่จะทำให้การสื่อสารเกิดผลตามที่ต้องการ

การใช้คำในภาษาไทย



ภาษาไทย

การใช้คำให้เหมาะสม การใช้คำในภาษาไทยใช้ต่างกันตามความเหมาะสม ประกอบด้วยเสียงและความหมาย การรู้ จักเลือกคำมาใช้ให้ถูกต้อง ควรคำนึงถึงเรื่องต่อไปนี้

๑. การใช้คำให้ถูกต้องตามความหมาย ความหมายของคำ ที่จะกล่าวถึงมีดังนี้คือ

๑.๑ คำที่มีความหมายตรงและความหมายโดยนัย - ความหมายตรง คือ ความหมายที่เป็นที่รับรู้ เข้าใจตรงกันในหมู่ผู้ใช้ภาษาไม่ต้องตี ความเป็นอย่างอื่น - ความหมายแฝง คือ ความหมายที่ซ่อนเร้นอยู่ในความหมายของคำนั้นๆ เป็นความ หมายที่เพิ่มขึ้นจากความหมายตรง จะเข้าใจตรงกันหรือไม่ขึ้นอยู่กับพื้นฐานความรู้ประสบการณ์ของ แต่ละบุคคล ตลอดจนคำแวดล้อม

๑.๒ คำบางคำอาจมีได้หลายความหมาย คือ เมื่ออยู่ในประโยคหนึ่ง คำบางคำอาจมี ความแตกต่างไปจากเมื่ออยู่ในอีกประโยคหนึ่ง ๑.๓ คำบางคำมีความหมายใกล้เคียงกัน อาจทำให้ผู้ใช้ภาษาเกิดความสับสนได้ ...ตัวอย่างคำที่มีความหมายใกล้เคียงกัน>>

๒. การใช้คำให้ถูกต้องตามไวยากรณ์ ไวยากรณ์ หมายถึง หลักว่าด้วยรูป และระเบียบวิธีการประกอบรูปคำให้เป็นประโยค ชนิดของคำแบ่งออกเป็น ๗ ชนิด ได้แก่

- คำนาม

- คำสรรพนาม

- คำกริยา

- คำวิเศษณ์

- คำบุพบท

- คำสันธาน

- คำอุทาน

๓. การเขียนสะกดการันต์ให้ถูกต้อง การเขียนสะกดคำเนเรื่องสำคัญ เพราะถ้าเขีนยสะกดบกพร่องหรือผิดความาหมายก็อาจจะ เปลี่ยนแปลงไปได้ ดังนั้น ในการเขียนจึงต้องอาศัยการสังเกตและการจดจำหลักการเขียนคำประเภท ต่างๆ ดังนี้

- คำสมาส

- คำพ้องเสียง

- คำที่ใช้ ซ, ทร

- คำที่ใช้ ใ-, ไ- - คำที่ออกเสียง อะ

- การใช้วรรณยุกต์ - คำที่มีตัวการันต์

- คำทับศัพท์ภาษาต่างประเทศ

๔. การออกเสียงให้ถูกต้องและชัดเจน พยางค์หนึ่งๆ ในภาษาไทยประกอบด้วย พยัญชนะ สระ และวรรณยุกต์ ถ้าเสียงพยัญชนะ สระ และวรรณยุกต์เปลี่ยนไป ความหมายก็จะเปลี่ยนไปด้วย ซึ่งจะทำให้สื่อความหมายผิดพลาดได้ เรื่องนี้ต้องอาศัยการสังเกตและจดจำเป็นสำคัญ ...ตัวอย่างการออกเสียงให้ถูกต้องและชัดเจน>> การใช้คำในภาษาไทยใช้ต่างกันตามความเหมาะสมหรือตามระดับของคำ เวลานำคำไปใช้จะต้อง คำนึงถึงความเหมาะสมของบุคคล กาลเทศะ โอกาส และความรู้สึก ระดับของภาษาแบ่งอย่างกว้างๆ ได้ ๓ ระดับคือ

๑. ภาษาปาก เป็นภาษาที่ใช้พูดหรือเขียน เพื่อความเข้าใจในกลุ่มคนที่มีความใกล้ชิดสนิทสนม กัน ถ้อยคำที่ใช้ไม่ต้องพิถีพิถันกันมากนัก

๒. ภาษากึ่งแบบแผน เป็นภาษาที่ใช้ทั้งในการพูดและเขียน

๓. ภาษาแบบแผน เป็นภาษาที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่าถูกต้องและประณีต มักใช้ในการพูดและ เขียนที่เป็นทางการ ...ตัวอย่างการใช้ภาษาระดับต่างๆ>> การใช้คำให้เหมาะสม ควรคำนึงถึงเรื่องต่อไปนี้

๑. การใช้คำให้เหมาะสมกับบุคคลและกาลเทศะ การใช้คำที่สุภาพหรือคำที่เหมาะสมกับบุคคลเป็น เรื่องที่คนไทยถือเป็นเรื่องสำคัญ ควรใช้ให้ถูกต้องและเหมาะสม ...ตัวอย่าง>>

๒. การใช้คำให้เหมาะสมกับความรู้สึก คำบางคำในภาษาไทยจะแสดงความรู้สึกของผู้ใช้ภาษาได้ ว่ารู้สึกเช่นใด ในขณะเดียวกันก็จะส่งผลต่อความรู้สึกของผู้รับสารได้เช่นกัน หวังว่า ท่านจะนำหลักการเหล่านี้ไปเป็นพื้นฐานในการใช้ภาษาไทยในชีวิตประจำวันได้อย่างถูกต้อง

พิพิธภัณฑ์เมือง มหาสารคาม




         มหาสารคามได้รับการแต่งตั้งเป็นเมือง เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2408 แต่ก่อนจะตั้งเป็นเมืองมหาสารคามนั้น บริเวณนี้เคยเป็นที่อยู่ของมนุษย์มานาน บางยุค บางสมัยก็รุ่งเรือง บางยุคสมัยก็เสื่อมโทรม ตามบันทึกของหลวงอภิสิทธิ์สารคาม (บุดดี) ตลอดจนประวัติศาสตร์ภาคอีสานและเมืองมหาสารคาม ของ บุญช่วย อัตถากร ระบุว่า ท้าวมหาชัย (กวด) พาผู้คนออกจากเมืองร้อยเอ็ดมาทางทิศตะวันตก ประมาณ 1,000 เส้น 

      จึงหยุดตั้งอยู่บริเวณที่ดอน แต่ราษฎรนิยมเรียกว่า “วัดข้าวฮ้าว” อยู่ได้ประมาณ 6 เดือน เห็นว่าขาดแคลนแหล่งน้ำ จึงย้ายมาตั้งระหว่างกุดยางใหญ่กับหนองท่ม ซึ่งเป็นที่ชุมชนที่มีผู้อาศัยอยู่บ้างแล้ว คือ บ้านจาน ประกอบกับห่างออกไปเล็กน้อยก็เป็นห้วยตะคาง จึงนับว่าเป็นชัยภูมิที่มีแหล่งน้ำสมบูรณ์ เมืองมหาสารคามเมื่อแรกตั้งอยู่ในความดูแลบังคับบัญชาของพระขัติยวงษา (จัน) เจ้าเมืองร้อยเอ็ด ซึ่งเป็นผู้กราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ขอรับพระราชทาน “บ้านลาด กุดยางใหญ่” เป็นเมือง ของท้าวมหาชัย (กวด) เป็นเจ้าเมือง



                           

                                     

อักษรนำ




  




                                  
              


ความสำคัญ

         

คำอักษรนำมีความสำคัญในฐานะที่ช่วยให้ภาษาไทยมีคำสำหรับใช้สื่อสารเพิ่มมากขึ้น เราจะพบว่าคำที่มี
พยัญชนะต้นเป็นอักษรต่ำเดี่ยว (อักษรต่ำเดี่ยวมี ๑๐ ตัว คือ ม ง ย ญ ล ว น ณ ร ฬ) เช่น งา นา มา จะผันเสียง
วรรณยุกต์ได้เพียง ๓ เสียง ถ้าต้องการให้ผันครบ ๕ เสียง จะต้องนำด้วยอักษรสูง โดยทั่วไปจะใช้ตัว " ห " นำหน้า
คำอักษรต่ำเดี่ยวเหล่านั้น เช่น นา น่า น้า เมื่อนำ "ห" มาประสมข้างหน้าให้เป็นคำอักษรนำ จะผันเสียงได้เป็น ๕ เสียง

    คำอักษรนำจึงมีคุณค่าในฐานะที่ทำให้ภาษาไทยมีคำที่ใช้เพิ่มมากขึ้นและทำให้อักษรต่ำเดี่ยวผันเสียงวรรณยุกต์
ได้ครบทั้ง ๕ เสียง

พยัญชนะสองตัวเรียงกัน
อักษรสูงอักษรกลางนำพา
อักษรตัวตามอักษรต่ำเดี่ยว
เหมือนมีตัว “ห” มานำทุกคำ

ร่วมสระผันในหลักภาษา
อักษรตัวหน้าเรียก “อักษรนำ”
เสียงที่ข้องเกี่ยวมันดูลึกล้ำ
ขอให้จดจำแล้วก็ทำใจ

ความหมาย


คำอักษรนำ คือ คำที่มีพยัญชนะ ๒ ตัว ประสมสระเดียวกัน มีหลักการอ่านดังนี้
๑. อ่านออกเสียงร่วมกันสนิทเป็นพยางค์เดียว ได้แก่
๑.๑ เมื่อ ห นำอักษรต่ำ เช่น หยุด หวาน หลอก หญิง เหงา หรูหรา
๒.๒ เมื่อ อ นำ ย มี ๕ คำ คือ อย่า อยู่ อย่าง อยาก
๒. อ่านออกเสียง ๒ พยางค์ พยางค์แรกออกเสียง อะ กึ่งเสียง พยางค์หลังออกเสียงตามสระที่ประสม
อยู่และออกเสียงเหมือน ห นำ
๒.๑ อักษรสูงนำอักษรต่ำเดี่ยว เช่น


สมาน อ่านว่า สะ - หมาน
ผนวช อ่านว่า ผะ - หนวด
สนอง อ่านว่า สะ - หนอง
ผนวก อ่านว่า ผะ - หนวก
ถนอม อ่านว่า ถะ - หนอม
ผนึก อ่านว่า ผะ - หนึก
จมูก อ่านว่า จะ – หมูก
จรัส อ่านว่า จะ - หรัด



ถวาย อ่านว่า ถะ – หวาย
สงวน อ่านว่า สะ - หงวน
ตลาด อ่านว่า ตะ - หลาด
ผยอง อ่านว่า ผะ - หยอง
ขยาย อ่านว่า ขะ - หยาย
ฉลาม อ่านว่า ฉะ - หลาม
สมุด อ่านว่า สะ - หมุด





อักษรสูงนำอักษรต่ำเดี่ยว
มิใช่ ผะ – นวด อย่างที่เคยใช้
อักษรกลางนำอักษรต่ำเดี่ยว
มิใช่ ตะ - ลาดอย่างที่เคยทำ



ผะ –หนวด(ผนวช)ตัวเดียวเสียงก็เปลี่ยนไป
เสียง “น” เปลี่ยนไปตามอักษรนำ
ตะ – หลาด(ตลาด)ตัวเดียวเสียงก็เปลี่ยนคำ
ฝึกจดฝึกจำเอาไว้ให้ดี



๒.๒ อักษรกลางนำอักษรต่ำเดี่ยว เช่น


องุ่น อ่านว่า อะ - หงุ่น
ตลาด อ่านว่า ตะ - หลาด
ตลก อ่านว่า ตะ - หลก
ตลิ่ง อ่านว่า ตะ - หลิ่ง
กนก อ่านว่า กะ – หนก



จมูก อ่านว่า จะ - หมูก
ปรอด อ่านว่า ปะ - หรอด
ตลอด อ่านว่า ตะ –หลอด
อนาถ อ่านว่า อะ - หนาด
กฤษณา อ่านว่า กริด – สะ-หนา







แต่ สะ – บาย(สบาย)ไม่ใช่อักษรนำ
เสียง “อะ” ไม่ประวิสรรชนีย์



เมื่อแยกคำอ่าน สะ – บาย คงที่
กึ่งเสียงเท่านี้ไม่มี “ห” นำ






หากตัว “ห” นำอักษรต่ำเดี่ยว
เสียงที่เปลี่ยนไปคืออักษรต่ำ
หากมี “อ” นำอักษรต่ำเดี่ยว
”อย่า อยู่ อย่าง อยาก” สี่คำเท่านี้



เสียง “อะ” ไม่เกี่ยวกลมเกลียวทุกคำ
ไม่มีเงื่อนงำฝึกจำให้ดี
เหมือน “ห” นำเชียวเหมือนกันเลยนี่
หลักการที่มีจำให้ขึ้นใจ



ข้อยกเว้น
คำบางคำออกเสียงตามความนิยม เช่น






ขมา


อ่านว่า


ขะ - มา



สมา


อ่านว่า


สะ - มา















หมายเหตุ


มีหนังสือหลักภาษาไทยบางเล่ม ยกตัวอย่างคำอักษรนำที่มีเสียงพยางค์หน้าเน้นเสียงอะ เช่น คำว่า สบาย
สบง ขบวน ทนาย ฯลฯ และระบุว่าเป็นอักษรนำซึ่งความจริงยังไม่ถูกต้อง เพราะคำอักษรนำจะต้องเป็นคำที่เป็นอักษร
สูง หรือ อักษรกลาง นำอักษรต่ำเดี่ยว จึงจะจัดเป็นคำอักษรนำ ส่วนคำว่า สบาย สบง ขบวน ทนาย คำเหล่านี้ไม่จัด
เป็นอักษรนำ เพราะคำเหล่านี้แม้จะออกเสียง ๒ พยางค์ และพยางค์หน้าออกเสียงอะ โดยไม่ประวิสรรชนีย์ก็จริง แต่เสียงพยางค์ของคำทั้ง ๒ คำ เป็นอิสระแก่กัน เช่น คำว่า สบาย อ่านว่า สะ-บาย ตัว "บ" ไม่ต้องออกเสียงสูงตาม
ตัว "ส" และตัว "บ" ไม่ใช่อักษรต่ำเดี่ยว จึงไม่จัดเป็น อักษรนำ คำว่า ทนาย อ่านว่า ทะ-นาย ตัว "ท" เป็นอักษรต่ำ
ไม่ใช่อักษรสูง หรือ อักษรกลาง อักษรนำจะต้องใช้พยัญชนะตัวแรกเป็นอักษรสูงหรืออักษรกลางเท่านั้น